วันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

กระเทียมโทนเป็นเครื่องเทศที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย

เครื่องเทศ

กระเทียมโทน เป็นกระเทียมพันธุ์ที่ไม่มีกลีบหรือมีเพียงหัวเดียว ไม่นิยมใช้เป็นเครื่องเทศ เพราะมีกลิ่นฉุนน้อย แต่นิยมดองน้ำผึ้งหรือน้ำตาลรับประทาน เพราะหัวมีเพียงหัวเดียว เนื้อหัวมีขนาดใหญ่ มีเนื้อมาก สามารถรับประทานได้ทั้งหัว
กระเทียมโทน เป็นกระเทียมที่ปลูกได้จากกลีบกระเทียมทั่วไป แต่การเติบโตไม่สมบูรณ์หรือกลีบบางกลีบมีการแตกกลีบต่ำ โดยเฉพาะกลีบกระเทียมตรงกลาง ทำให้หัวกระทียมไม่แบ่งกลีบ กลายเป็นกระเทียมหัวเดียว


ประโยชน์กระเทียมโทน

1. หัว และใบกระเทียมโทนสดใช้ประกอบอาหาร ทั้งเมนูผัด และต้ม ช่วยดับกลิ่นคาว และเพิ่มรสเผ็ดอ่อนๆ
2. หัว และใบกระเทียมโทนสดใช้รับประทานเป็นเครื่องเคียงหรือรับประทานคู่กับอาหารจำพวกลาบ น้ำตก ซุบหน่อไม้ เป็นต้น
3. หัวกระเทียมโทนนิยมใช้ดองหวานหรือดองน้ำผึ้ง เป็นที่นิยมในปัจจุบัน เนื่องจาก หัวกระเทียมไม่มีกลีบ มีหัวเดียว ให้เนื้อหัวมาก รับประทานได้ทั้งหัว เมื่อดองแล้วจะมีรสหวาน มีกลิ่นหอม นิยมรับประทานหัวดองหรือใช้น้ำดองปรุงรสอาหาร


สรรพคุณกระเทียมโทน

หัวกระเทียม
- ช่วยบรรเทาอาการไอ โดยรับประทานหัวสดหรือต้มน้ำดื่ม
- ช่วยรักษาแผล แก้แผลเน่าเปื่อย โดยผ่าหัวกระเทียมหรือบด แล้วทาพอกแผล
- ช่วยรักษาแผล แก้แผลเน่าเปื่อย โดยผ่าหัวกระเทียมหรือบด แล้วทาพอกแผล
- ช่วยบำรุงธาตุ บำรุงร่างกาย
- แก้โรคหอบหืด
- แก้อัมพฤกษ์ อัมพาต
- ช่วยบำรุงปอด แก้วัณโรค
- ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด
- ช่วยป้องกันโรคหัวใจ และหลอดเลือด
- ช่วยป้องกันเลือดจับตัวเป็นลิ่ม
- ช่วยป้องกันหัวใจขาดเลือด
ใบกระเทียม
- ช่วยขับเสมหะ
- ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด
หลังจากที่ได้รู้จักสรรพคุณของกระเทียมไปแล้วนะคะ สำหรับใครที่ไม่ชอบทานกระเทียมแบบสดๆก็หันมาลองทานอาหารที่ใช้กระเทียมเป็นส่วนผสมเพื่อให้การทานกระเทียมมันง่ายขึ้น ถ้ายังไม่รู้ว่าจะกินเมนูอะไร แนะนำเลยค่ะ ก๋วยเตี๋ยวเป็นอาหารที่ทานง่ายและยังมีส่วนผสมของกระเทียมอีกด้วย ลองมาทานก๋วยเตี๋ยวของโฮมก๋วยเตี๋ยวเรือดูสิค่ะ ทั้งอร่อยทั้งมีประโยชน์

วันอังคารที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

เก๊กฮวยนิยมใช้เป็นยาสมุนไพร รักษาแก้ร้อนใน


ยาสมุนไพร

เก๊กฮวย เป็นพืชที่มีต้นกำเนิดในประเทศจีน มีพันธุ์เก๊กฮวยที่นิยมปลูก และนำมาต้มเป็นน้ำเก๊กฮวยมากที่สุด คือ เก๊กฮวยดอกขาว ที่ปลูกมากกว่าร้อยละ 90 ของเก๊กฮวยทั้งหมด โดยเฉพาะที่เมืองหังโจ ประเทศจีน ส่วนเก๊กฮวยสีเหลือง ไม่นิยมทำน้ำเก๊กฮวย เพราะน้ำให้รสขม แต่นิยมใช้เป็นยาสมุนไพรสำหรับแก้ร้อนใน
สำหรับดอกเก๊กฮวยที่ชาวยุโรปนิยมใช้ชงเป็นชาดื่มเหมือนกับเก๊กฮวยของชาวเอเชียจะเป็นดอกเก๊กฮวยที่อยู่ในวงศ์เดียวกันดาวเรืองหรือเก๊กฮวย คือ ดอกคาโมมายล์ (Chamaemelum nobile (L.) All. มีกลีบดอก 2 สี คือ สีขาว และสีเหลือง

สรรพคุณของเก็กฮวย

สามารถ ช่วยดับกระหาย ช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย ช่วยขับเหงื่อ ช่วยดูดซับสารก่อมะเร็งและจุลินทรีย์ ช่วยขยายหลอดเลือดแดง ช่วยป้องกันโรคหัวใจ ช่วยป้องกันการโรคความดันโลหิตสูง ช่วยป้องกันการเกิดโรคเส้นเลือดตีบ ช่วยบำรุงเลือด ช่วยบำรุงสายตา ช่วยแก้อาการปวดศีรษะ ช่วยลดไข้ ช่วยแก้ไอ ช่วยระบายและย่อยอาหาร ช่วยขับลม บำรุงปอด บำรุงตับ บำรุงไต ใช้รักษาฝีเป็นหนอง ช่วยรักษาผมร่วง

ประโยชน์เก๊กฮวย

- ดอกเก๊กฮวยแห้งนิยมใช้ต้มหรือชงเป็นชาดื่ม น้ำเก๊กฮวยจะมีสีเหลืองอ่อน และให้กลิ่นหอมน่าดื่ม น้ำ ซึ่งอาจใช้ทั้งดอกเก๊กฮวยแห้งหรือผงดอกเก๊กฮวย
- ใช้เป็นส่วนผสมของยาสมุนไพร คือ เก๊กฮวยสีเหลือง ซึ่งให้รสขม
- ใช้เป็นส่วนผสมของอาหารสัตว์
- ลำต้นเก๊กฮวย ใช้เป็นเชื้อเพลิงในครัวเรือน
- ลำต้น และใบเก๊กฮวยที่เก็บดอกแล้ว ทำการไถกลบสำหรับเป็นปุ๋ยพืชสดหรือนำมาใช้ทำปุ๋ยหมัก


ใครที่กำลังมองหาร้านนั่งสบายชิวๆ แอร์เย็น บรรยากาศดี บริการประทับใจคนที่แวะมาใช้บริการต้องที่นี้เลยค่ะ โฮมก๋วยเตี๋ยวเรือ

วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

คุณค่าทางสารอาหาร

ถั่วงอกสรรพคุณไม่ธรรมดา จัดเป็นผักที่ให้คุณค่าทางสารอาหารมากมาย หลายคนที่ไม่ชอบกินถั่วงอก อ่านจบแล้วอาจเปลี่ยนใจ มากินถั่วงอกได้ง่ายขึ้น
ประโยชน์ของถั่วงอกเป็นสิ่งที่ถูกมองข้ามอยู่บ่อย ๆ เพราะบางคนก็เหม็นเขียวกลิ่นถั่วงอก ทั้งที่จริง ๆ แล้วสรรพคุณของถั่วงอกไม่ใช่ย่อยเลยนะคะ ดีต่อสุขภาพของเราหลายประการ และวันนี้กระปุกดอทคอมก็ขอพาสรรพคุณถั่วงอกมาให้ทุกคนได้ทราบอย่างทั่วถึง ตามนี้เลย

ถั่วงอก ผักธรรมดา ที่มีคุณค่าต่อร่างกาย
ถั่วงอกเป็นต้นอ่อนของถั่วที่งอกออกมาจากเมล็ดถั่วเขียว ถั่วดำ ถั่วเหลือง หรือถั่วลันเตา แต่โดยส่วนมากถั่วงอกที่เราได้กินกันทุกวันนี้จะเพาะมาจากเมล็ดถั่วเขียวผิวดำ เพราะมีอัตราการงอกที่ดีกว่า อายุเก็บเกี่ยวถั่วงอกสั้น และมีคุณค่าทางอาหารค่อนข้างสูง
ถั่วงอกจัดเป็นพืชตะกูลถั่วชนิดหนึ่ง โดยถั่วงอก ภาษาอังกฤษเรียกว่า Sprout หรือ Bean sprout ลักษณะของถั่วงอกจะมีรากงอกออกมาจากเมล็ดถั่วก่อน จากนั้นเปลือกเมล็ดจะปริแตก จากนั้นรากจะค่อย ๆ งอกเป็นลำต้นสีขาว ยาวประมาณ 5-10 เซนติเมตร


สรรพคุณของถั่วงอก บอกเลยว่าแจ่ม !

1. ช่วยในการย่อยและระบบขับถ่าย
ในถั่วงอกมีไฟเบอร์อยู่จำนวนไม่น้อย อีกทั้งยังมีน้ำ และเอนไซม์ชนิดหนึ่งซึ่งมีหน้าที่ช่วยย่อยอาหารในระบบลำไส้ ทำให้การดูดซึมแร่ธาตุ-สารอาหารของลำไส้มีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้งไฟเบอร์และน้ำในถั่วงอกยังจะช่วยให้ระบบขับถ่ายมีความคล่องตัวมากขึ้น ช่วยลดของเสียและสิ่งตกค้างในร่างกายไปกับการขับถ่ายด้วย

2. ช่วยให้ดูอ่อนกว่าวัย
ด้วยวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่ในถั่วงอก ทำให้ถั่วงอกเป็นผักชนิดหนึ่งซึ่งช่วยบำรุงผิวพรรณ อีกทั้งในถั่วงอกยังมีสารต้านความชราที่ชื่อว่า ออซินอน โดยสารตัวนี้มีคุณสมบัติบำรุงเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายให้มีความฟิตเฟิร์ม ไม่แก่เร็วเกินไปก่อนเวลาอันควร ที่สำคัญด้วยคุณสมบัติของไฟเบอร์และน้ำในถั่วงอก ซึ่งช่วยในการย่อยอาหารและระบบขับถ่าย การรับประทานถั่วงอกเข้าไปจึงจะช่วยให้ร่างกายขับของเสียและสิ่งตกค้างออกมาได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

3. ช่วยลดการอักเสบในร่างกาย
ด้วยความที่ถั่วงอกมีทั้งวิตามินซี และสารต้านอนุมูลอิสระหลากหลายชนิด คุณสมบัตินี้ทำให้ถั่วงอกมีประโยชน์ต่อระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย ช่วยเติมความแข็งแรงให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากขึ้น ป้องกันโรคหวัด นอกจากนี้วิตามินซียังช่วยกระตุ้นเซลล์เม็ดเลือดขาวให้เกิดความแอคทีฟ ร่างกายจึงจะมีภูมิต้านทานเชื้อไวรัสและเชื้อโรคที่อาจก่ออาการอักเสบตามเซลล์และอวัยวะต่าง ๆ ได้ดีมากขึ้นด้วยนั่นเอง

4. ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ
มีงานวิจัยจากต่างประเทศซึ่งระบุว่า เมล็ดถั่วเขียวที่กลายเป็นต้นถั่วงอกจะช่วยเพิ่มความสามารถในการย่อยโปรตีนได้ดีขึ้น และทำให้กรดอะมิโนบางชนิดสูงขึ้น อีกทั้งต้นถั่วงอกและต้นอ่อนยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระประเภทสารโพลีฟีนอลในกลุ่มฟลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นสารที่ให้ผลทางเภสัชวิทยา เช่น ต้านอนุมูลอิสระ ลดการอักเสบ ลดการแข็งตัวของเลือด ช่วยเหนี่ยวนำเอนไซม์ในการทำลายสารพิษในเลือด และช่วยให้ระบบหมุนเวียนเลือดมีความคล่องตัวขึ้น จึงสามารถลดอัตราความเสี่ยงโรคหัวใจได้

5. ป้องกันโรคมะเร็ง
มีงานวิจัยที่ศึกษาปริมาณสารประกอบโพลีฟีนอลในกลุ่มฟลาโวนอยด์ในถั่วเขียวและถั่วเหลืองงอก ซึ่งพบว่า ปริมาณสารฟลาโวนอยด์จะเพิ่มมากขึ้นในระหว่างกระบวนการงอก และจะเพิ่มมากที่สุดหลังจากการงอก 6-8 วัน ซึ่งต้นถั่วเขียวงอกมีปริมาณฟลาโวนอยด์รวม 268 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ส่วนต้นถั่วเหลืองงอกพบสารฟลาโวนอยด์ชนิดเคอร์เซตินประมาณ 78.5 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ซึ่งสารฟลาโวนอยเหล่านี้มีฤทธิ์เหนี่ยวนำเอนไซม์ในการทำลายสารพิษที่เกิดกับเซลล์ร่างกาย ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดเซลล์อักเสบต่าง ๆ


นอกจากนี้ในถั่วเหลืองและต้นงอกยังพบว่ามีสารประกอบไฟโตเอสเจน ซึ่งเป็นสารประกอบเอสโตรเจนที่ได้จากพืช ซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลายกลุ่ม ได้แก่ สารกลุ่มไอโซฟลาโวน สารกลุ่มเทอปีน และสารกลุ่มลิกนิน ซึ่งผลทางระบาดวิทยาพบว่า ไฟโตรเอสโตรเจนเหล่านี้มีความสำคัญอย่างมากในการป้องกันมะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งรังไข่ มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งต่อมลูกหมาก รวมไปถึงลดความเสี่ยงการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ และปัญหาที่เกี่ยวกับอาการหลังการหมดประจำเดือนได้
ทั้งนี้ยังมีข้อมูลทางวิชาการที่พบว่า ต้นถั่วเหลืองงอกและต้นถั่วดำงอกมีสารซาโพนินในปริมาณมาก ซึ่งสารซาโพนินมีคุณสมบัติต้านมะเร็งได้ โดยจะเข้าไปรบกวนการแบ่งเซลล์และการเติบโตของเซลล์มะเร็ง ส่งผลให้เซลล์มะเร็งลดลงและตายลงในที่สุด

วันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ร่างกายต้องการของหวานหรือเครื่องดื่มหวานๆเพราะอะไร….?

เครื่องดื่ม

เวลาที่อากาศร้อนๆ หรือรู้สึกเหนื่อยขึ้นมา เชื่อว่าหลายคนคงร้องเรียกหาของหวานๆ เย็นๆ ไม่ว่าจะเป็นของหวานหรือเครื่องดื่ม มากินให้ชื่นใจ ซึ่งเมื่อกินเข้าไปแล้วก็จะรู้สึกสดชื่นขึ้นมาในทันที เพราะอะไรถึงเป็นแบบนั้นเรามีคำตอบมาให้ค่ะ
ทั้งเครื่องดื่ม และของหวานต่างๆ นี้ มีความหวานมาจากน้ำตาล ซึ่งไม่ว่าจะเป็นน้ำตาลชนิดใดก็จะให้ความหวาน และมีประโยชน์ในด้านการให้พลังงานแก่ร่ายกาย โดยเฉพาะน้ำตาลกลูโคสที่มีหน้าที่ให้พลังงานแก่สมอง และช่วยกระตุ้นการหลั่งของสารเคมีในสมอง ทำให้รู้สึกสดชื่นและอารมณ์ดีขึ้น นี่จึงเป็นที่มาของสาเหตุที่เรากินของหวานเข้าไปแล้วรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า คนที่บริโภคน้ำตาลเข้าไปในปริมาณมากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการใช้ พลังงานส่วนเกินนี้ก็จะถูกเก็บสะสมไว้ที่ตับและกล้ามเนื้อ เพื่อเป็นพลังงานสำรองไว้ใช้ในยามจำเป็น นอกจากนี้ ร่างกายก็ยังเปลี่ยนน้ำตาลส่วนเกินให้กลายเป็นไขมันได้อีกด้วย


ดังนั้นของหวานไม่ใช่เป็นเรื่องที่น่ากลัว คนส่วนใหญ่มักจะบอกว่าเป็นตัวทำให้อ้วน แต่อีกแต่อีกด้านหนึ่งมันยังให้พลังงานแก่ร่ายกายของคุณด้วยล่ะ!!! ซึ่งวันนี้เราก็มีเมนูขนมหวานเย็นชื้นใจมาฝากกันค่ะ นั้นก็คือ ไอติมกะทิสดและลอดช่องวัดเจษฯ ทั้งสองอย่างนี้มีให้ทานกันที่ร้าน “โฮมก๋วยเตี๋ยวเรือ ” อย่าลืมมาลิ้มลองกันนะคะ

วันอังคารที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

สมุนไพรไทยอย่างกระเทียมรักษาโรคได้อย่างน่าทึ่ง



หากจะพูดถึงสมุนไพรไทย ที่มีสรรพคุณมากมาย ทั้งรักษาโรค บำรุงเลือดและแก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อได้ดี หลายคนของนึกถึง “กระเทียม” สมุนไพรที่อยู่คู่ครัวไทยมาอย่างยาวนาน อย่างที่เกริ่นกันมาว่ากระเทียมไม่เพียงแต่เป็นวัตถุดิบที่ช่วยชูรสชาติของอาหารไทยเท่ากัน แต่สรรพคุณทางยาก็ครบครัน ทำให้หลายคนชื่นชอบการรับประทานกระเทียม ไม่ว่าจะเป็นกระเทียมสด กระเทียมเจียว กระเทียมดอง หรือแม้กระทั่งสารสกัดที่เป็นน้ำมันกระเทียม และกระเทียมแบบแคปซูล อย่างไรก็ตามแม้ “กระเทียม” จะมีประโยชน์มากมาย แต่หากรับประทานมากจนเกินไปก็ก่อให้เกิดอันตรายได้เช่นกัน

ได้ทานกระเทียมมากไป ก็เกิดโทษได้นะ

1. กระเทียมทำให้มีกลิ่นตัว (โทษของกระเทียม) เนื่องจากกระเทียมเป็นสมุนไพรทีมีลักษณะเฉพาะตัวคือ มีกลิ่นฉุนๆ เย็นๆ ดังนั้นการรับประทานกระเทียมมากๆ จะทำให้มีกลิ่นกระเทียมติดตัว โดยเฉพาะกลิ่นปาก เนื่องจากในกระเทียมมีสารเคมี‘อัลลิอิน’ (Alliin) อยู่ในปริมาณมาก สังเกตได้ว่าเมื่อกระเทียมถูกหั่น สารดังกล่าวจะระเหยออกมาและเมื่อสารดังกล่าวทำปฏิกิริยากับเอนไซม์ในปากจะทำให้เกิดกลิ่นฉุน ดังนั้นหลังรับประทานกระเทียมทุกครั้งควรทำความสะอาดช่องปากให้สะอาดด้วยการแปรงฟันหรือใช้น้ำยาบ้วนปาก
2. กระเทียมทำให้เกิดอาการร้อนใน (โทษของกระเทียม) กระเทียมถือเป็นสมุนไพรที่ให้ความเผ็ดร้อน เมื่อรับประทานเข้าไปในปริมาณมากจะทำให้เกิดการระคายเคืองทั้งในช่องปากและช่องท้อง โดยทำให้เกิดอาการร้อนในตามมา หรือในบางรายที่ไม่ได้รับประทานอาหารรองท้องก่อนจะทำให้เป็นกระเพาะอักเสบ ปวดท้อง แน่นท้องและมีลมในช่องท้องได้
3. กระเทียมส่งผลต่อระบบสืบพันธุ์ (โทษของกระเทียม) จากการรายงานพบว่าน้ำมันหอมระเหยในกระเทียมมีฤทธิ์ทำลายอสุจิได้ โดยเมื่อทดลองกับหนูตะเภาและหนูแรททำให้ทราบว่าอสุจิไม่แข็งแรง เมื่อเปรียบเทียบกับปฏิกิริยาในร่างกายมนุษย์อาจสรุปได้ว่าทำให้เกิดภาวะมีบุตรยากหรือเป็นหมัน แต่จากรายงานไม่พบว่าทำให้เกิดภาวะเป็นพิษต่อสัตว์ทดลองตัวเมีย ดังนั้นจึงไม่เพิ่มความเสี่ยงในการแท้งบุตรของหญิงตั้งครรภ์แต่อย่างใด
4. กระเทียมอาจทำให้เกิดอาการแพ้รุนแรง (โทษของกระเทียม)จากการทดลองของสำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่าเมื่อหลังฉีดน้ำมันหอมระเหยที่สกัดจากกระเทียมเข้าในตัวสัตว์ทดลองเพื่อศึกษาความเป็นพิษเฉียบพลัน พบว่าสัตว์ทดลองมีอาการมึนงง กระสับกระส่าย และเมื่อเพิ่มปริมาณน้ำมันหอมระเหยจากกระเทียมพบว่าทำให้สัตว์ทดลองตาย ดังนั้นความรุนแรงของอาการแพ้กระเทียมในมนุษย์จึงเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก โดยหากรับประทานกระเทียมแล้วเกิดอาการคัน มีผื่นขึ้นตามตัว หรือมีอาการแน่นหน้าอก ให้หยุดรับประทานทันทีและรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจอาการอย่างละเอียด
5. กระเทียมส่งผลต่อหัวใจและหลอดเลือด (โทษของกระเทียม) ตามหลักโภชนาการอาหารได้จัดกระเทียมเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณในการต้านการแข็งตัวของเลือด ยับยั้งการเกาะกันของเกล็ดเลือด ทำให้เลือดเหลวและแข็งตัวช้า ดังนั้นการรับประทานกระเทียมจะช่วยลดอาการหลอดเลือดอุดตันและลโรคหัวใจได้ดี แต่ในรายที่เลือดจางหรือเลือดแข็งตัวช้าอยู่แล้ว การรับประทานกระเทียมเข้าไปยิ่งทำให้เลือดจางและแข็งตัวช้าเพิ่มขึ้นไปอีก นอกจากนี้ยังมีรายงานระบุว่ามีชายอายุ 23 ปี ที่ไม่มีประวัติหรือมีความเสี่ยงภาวะโรคหัวใจมาก่อน แต่กลับมีอาการกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน หลังจากรับประทานกระเทียมในปริมาณสูงและก่อนมีอาการ ชายรายดังกล่าวเคยมีอาการเจ็บหน้าอก 2 ครั้ง เมื่อรับประทานกระเทียมเป็นจำนวนมาก

จะเห็นได้ว่า แม้ “กระเทียม” จะมีสรรพคุณที่ดีต่อร่างกายเพียงใด แต่หากรับประทานมากเกินไปก็ทำให้เกิดโทษได้เช่นเดียวกัน โดยอันตรายที่ว่านี้ไม่เพียงเกิดขึ้นกับอวัยวะภายในเท่านั้น แต่ยังเกิดได้กับอวัยวะภายนอกอย่างผิวหนัง ถ้าหากเราทำกระเทียมหรือน้ำมันหอมระเหยของกระเทียมมาทาตามบริเวณต่างๆ ของร่างกายเพื่อลดเลือนรอยสิว หรือแผลเป็นตามที่เห็นในอินเทอร์เน็ต จะทำให้เกิดอาการระคายเคือง ผิวหนังอักเสบและเกิดรอยไหม้เพิ่มได้

ดังนั้นการบริโภคกระเทียมในแต่ละครั้งจำเป็นต้องใส่ใจปริมาณให้มากๆ และต้องสังเกตุตนเองเกี่ยวกับอาการแพ้ รวมไปถึงต้องหมั่นตรวจสุขภาพเป็นประจำ เพื่อให้ทราบว่าตนเองมีโรคประจำตัวหรือมีภาวะเสี่ยงในการรับประทานกระเทียมหรือไม่ เพียงเท่านี้รับรองว่าการรับประทานกระเทียมของคุณจะได้ประโยชน์เต็มร้อย โดยไม่มีผลข้างเคียงหรือได้รับโทษจากกระเทียมแล้วล่ะค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

เรื่องน่ารู้ของน้ำซุปในก๋วยเตี๋ยวเรือ

“ก๋วยเตี๋ยวเรือ” เมนูชามน้ำซดคล่องคอที่ถือว่าเป็นเมนูประจำมื้ออาหารของหลายๆ คน ที่มีทีเด็ดจากความหวาน หอม และกลมกล่อมของน้ำซุป
แล้วทราบกันหรือไม่ว่าเมนูก๋วยเตี๋ยวเรือที่มีน้ำซุปแสนอร่อยนี้เหตุใดจึงอร่อย? เพราะเมื่อเราต้มน้ำซุปเป็นเวลานาน ความร้อนจะทำให้โปรตีนในกระดูกเริ่มเสียสภาพ โดยไปทำลายพันธะไฮโดรเจนของโปรตีน จากเดิมที่มีโครงสร้างซับซ้อนให้คลายตัวออกจนมีรูปร่างเป็นสายยาว เหตุการณ์ดังกล่าวยังส่งผลต่อพันธะเพปไทด์ระหว่างกรดอะมิโนทำให้กรดอะมิโนหลายชนิดถูกปลดปล่อยออกมาบางส่วน โดยหนึ่งในนั้นคือ “กรดกลูตามิก” ที่เป็นกุญแจสำคัญ เนื่องจาก กรดกลูตามิกสามารถจับตัวกับต่อมรับรสบนลิ้น เกิดรสชาติอูมามิทำให้เราสัมผัสได้ถึงรสอร่อยกลมกล่อมนั่นเอง นอกจากนี้น้ำซุปยังมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์กับร่างกายอีกหลายชนิด เช่น กรดอะมิโนไกลซีนที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้อย่างง่ายดาย ช่วยในการย่อยและควบคุมการทำงานของกรดน้ำดี และยังมีกรดอะมิโนโพรลีนที่ช่วยให้ผิวมีสุขภาพดี เพิ่มประสิทธิภาพการโอบอุ้มน้ำให้แก่เซลล์และรักษาความยืดหยุ่นของผิวหนัง อีกทั้งยังช่วยสร้างคอลลาเจนและฟื้นฟูเนื้อเยื่อ เหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วยที่มีบาดแผลยากต่อการรักษา และน้ำซุปยังอุดมไปด้วยแร่ธาตุที่สำคัญ เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส และแมกนีเซียม อีกด้วย


ฉะนั้นนอกจากความอร่อยแล้ว น้ำซุปยังมีประโยชน์อื่น ๆ อีกไม่ใช่น้อย คงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ เมนูก๋วยเตี๋ยวเรือเป็นอะไรที่หลายคนนิยมรับประทานกัน ซึ่งใครที่ยังไม่รู้ว่าจะหาร้านก๋วยเตี๋ยวที่อร่อย สะอาด แถมยังถูกมากๆ อีกด้วย เราก็ของแนะนำร้านนี้เลยคะ “โฮมก๋วยเตี๋ยวเรือ” ใกล้ๆ บิ๊กซีอุบลฯ ตรงข้ามศูนย์โทรศัพท์ Vivo ลองไปทานกันดูนะคะ อิ่มท้องแถมยังได้ประโยชน์อีกด้วย👏🏻👏🏻👏🏻

วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

น้ำกระเจี๊ยบเป็นเครื่องดื่มสมุนไพรคลายร้อนชั้นดี



เมื่อพูดถึงน้ำกระเจี๊ยบ แน่นอนว่าคงไม่มีใครที่ไม่รู้จักอย่างแน่นอน เพราะน้ำกระเจี๊ยบเป็นเครื่องดื่มคลายร้อนที่ได้รับความนิยมมาตั้งแต่สมัยอดีตกาล น้ำกระเจี๊ยบที่ได้จะมีรสชาติอมหวานอมเปรี้ยว ดื่มแล้วรู้สึกสดชื่น ให้ความรู้สึกที่ผ่อนคลาย ทั้งยังมีประโยชน์อีกมากมาย ที่คนรักสุขภาพไม่ควรพลาดเด็ดขาด


1.ป้องกันและรักษาไตพิการ
น้ำกระเจี๊ยบมีส่วนช่วยในการป้องกันและรักษาอาการของโรคไตพิการ รวมถึงช่วยป้องกันภาวะไตวายในคนที่มีปัญหาไตผิดปกติด้วย ซึ่งน้ำกระเจี๊ยบจะทำหน้าที่ในการขับเอาสารพิษในไตออกมาในรูปของปัสสาวะ พร้อมกระตุ้นให้ไตมีการทำงานที่ปกติมากขึ้น
2.บรรเทาอาการไข้
ในคนที่มีอาการไข้ การดื่มน้ำกระเจี๊ยบก็ช่วยบรรเทาและลดไข้ได้เป็นอย่างดี โดยสรรพคุณของกระเจี๊ยบจะช่วยลดอุณหภูมิในร่างกายให้อยู่ในระดับที่สมดุล พร้อมกำจัดเชื้อไวรัสหรือเชื้อแบคทีเรีย
3.ละลายไขมันในเส้นเลือด
น้ำกระเจี๊ยบมีส่วนช่วยในการละลายไขมันในเส้นเลือด ลดคอเลสเตอรอล บรรเทาและป้องกันโรคเบาหวาน ทั้งยังช่วยควบคุมระดับความดันเลือดให้เป็นปกติ
4.แก้อาการคอแห้ง ดับกระหาย
น้ำกระเจี๊ยบสามารถแก้อาการคอแห้งและดับกระหายได้เป็นอย่างดี เพราะน้ำกระเจี๊ยบมีรสชาติหวานๆเปรี้ยวๆ ให้ความรู้สึกชุ่มคอ ดื่มแล้วสดชื่นสบายใจ จึงเป็นเมนูเครื่องดื่มที่หลายคนนิยมทำเพื่อบริการในการประชุมหรือการนัดทำกิจกรรมต่างๆ
5.ป้องกันโรคมะเร็ง
ไม่อยากเป็นมะเร็ง แค่ดื่มน้ำกระเจี๊ยบบ่อยๆ เป็นประจำ ก็สามารถป้องกันและยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้เป็นอย่างดี เพราะน้ำกระเจี๊ยบมีสารแอนโทไซยานินและสารโพลีฟีนอล ที่มีฤทธิ์ในการยับยั้งเซลล์ผิดปกติ และช่วยสลายเซลล์มะเร็งในระยะแรก
6.ช่วยชะลอความแก่และต่อต้านอนุมูลอิสระ
การดื่มน้ำกระเจี๊ยบสามารถต่อต้านอนุมูลอิสระและชะลอความแก่ได้อย่างดีเยี่ยม พร้อมลดเลือนริ้วรอยก่อนวัย ให้ผิวดูอ่อนเยาว์ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งในคนที่มีปัญหาผิวแห้งกร้าน ผิวหมองคล้ำจากการโดนแดดเผา
7.ช่วยให้ระบบขับถ่าย ทำงานได้ดีขึ้น
สำหรับใครที่มีปัญหาอุจจาระแข็ง ท้องผูกหรือมีปัญหาการขับถ่ายบ่อยๆ การดื่มน้ำกระเจี๊ยบก็ช่วยได้ดีไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะกระเจี๊ยบมีสรรพคุณเป็นยาระบายอ่อนๆ จึงสามารถแก้ปัญหาอาการท้องผูกได้อย่างดีเยี่ยม

วันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

เครื่องดื่มสมุนไพรอย่างน้ำมะตูมต้านโรคร้ายจริงหรือ…?


เครื่องดื่ม

มะตูม ผลไม้ที่มักนำมาคั้นเป็นเครื่องดื่มเพิ่มความสดชื่นและทำเป็นเมนูกินเล่นอย่างมะตูมเชื่อมหรือเค้กมะตูม เชื่อกันว่ามีสรรพคุณทางยาตามตำรับยาอายุรเวท ผู้คนจึงนิยมนำผลและส่วนต่างๆ ของต้นมะตูมมาใช้รักษาปัญหาสุขภาพบางประการด้วย เช่น เป็นยาระบาย ลดไข้ หรือขับเสมหะ บรรเทาอาการท้องร่วง ปวดท้อง และแก้โรคบิด

บรรเทาอาการท้องเสีย
มีการนำมะตูมมาใช้บรรเทาอาการท้องเสียตามคำกล่าวอ้างสรรพคุณในตำรับยาอายุรเวทอย่างแพร่ หลาย ทั้งยังปรากฏผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์บางชิ้นที่สอดคล้องกับความเชื่อนี้ มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งทดลองนำผลมะตูมแห้งไม่ปอกเปลือกต้มในน้ำร้อน แล้วใช้น้ำที่ได้หยดลงในเซลล์ที่มีเชื้ออีโคไลอันเป็นสาเหตุของอาการท้องเสีย ผลพบว่าสารสกัดจากผลมะตูมมีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อดังกล่าวได้

รักษาแผลในกระเพาะอาหาร
เชื่อกันว่าผลมะตูมมีฤทธิ์ต้านการอักเสบและช่วยสมานแผลในกระเพาะอาหาร งานวิจัยชิ้นหนึ่ง พิสูจคุณสมบัติด้านนี้โดยทดลองให้หนูที่ป่วยเป็นโรคนี้จากการติดเชื้อเอชไพโลไรกินสารสกัดจากมะตูมสดแล้ววัดผล ผลปรากฏว่าแผลในกระเพาะอาหารของหนูลดลงเทียบเท่ากับการใช้ยารักษาแผลในกระเพาะอาหารอย่างซูคราลเฟต จึงอาจกล่าวได้ว่าผลมะตูมสดมีประโยชน์ในการรักษาแผลในกระเพาะอาหารที่เกิดจากการติดเชื้อเอชไพโลไร โดยช่วยป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร

รักษาเบาหวาน
คนส่วนใหญ่เชื่อว่ามะตูมมีสรรพคุณในการบรรเทาอาการของโรคเบาหวาน ประเด็นนี้ถูกนำไป ศึกษากับหนูทดลองที่ป่วยเป็นโรคนี้ ผลพบว่าหนูที่ได้กินสารสกัดจากเปลือกมะตูมเป็นเวลา 28 วัน มีระดับน้ำตาลในเลือดลดลงอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ สารสกัดมะตูมยังช่วยเพิ่มระดับอินซูลินและควบคุมไขมันในเลือด มะตูมจึงอาจเป็นทางเลือกหนึ่งที่ช่วยรักษาโรคเบาหวานได้

ป้องกันโรคมะเร็ง
เชื่อกันว่ามะตูมมีสรรพคุณในการรักษาโรคมะเร็งต่างๆ ซึ่งจากการทบทวนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องพบว่าการศึกษาทางวิทยาศาสตร์หลายชิ้นชี้ให้เห็นถึงคุณประโยชน์ของมะตูมในการต้านเซลล์มะเร็งและป้องกันสารเคมรบางชนิด ซึ่งอาจส่งผลดีต่ออาการของโรค ดังปรากฎในการศึกษากับเซลล์มะเร็งบางชิ้นที่แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการยับยั้งเซลล์มะเร็งต่อมน้ำเหลือง และมะเร็งระบบประสาทนิวโรบลาสโตมา

เครื่องดื่มสมุนไพร

จะเห็นว่าข้อมูลข้างต้นที่กล่าวมา ก็เป็นความรู้ส่วนหนึ่งที่ทำให้เรารู้สรรพคุณของน้ำมะตูมมากขึ้น แต่ถ้าพูดถึงน้ำมะตูมที่มีสรรพคุณครบถ้วนขนาดนี้ทุกคนคงอยากลองชิมกันแล้วใช่ไหมล่ะ แนะนำที่ร้านนี้เลย “โฮมก๋วยเตี๋ยวเรือ” ที่มีทั้งก๋วยเตี๋ยวที่มีรสชาติเข้มข้น อร่อย ถึงใจ และยังมีเครื่องดื่มที่เรากล่าวไป นั้นก็คือ... “น้ำมะตูม” บอกเลยว่าเด็ดสุดในจังหวัดอุบลราชธานี

วันศุกร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ก๋วยเตี๋ยวเส้นหมี่แห้งหมู ทำไม… ? ถึงจัดเป็นอาหารฟาสต์ฟู้ด

ก๋วยเตี๋ยวจัดเป็นอาหารที่กินอร่อย กินได้ไม่เบื่อ สั่งแล้วได้อย่างรวดเร็ว ถือว่าเป็นอาหารฟาสต์ฟู้ด ยอดนิยมระดับแนวหน้าของไทย ไม่น้อยหน้าฟาสต์ฟู้ดของต่างประเทศ เลย ทั้งยังมีขายทั่วไปเกือบทุก ตรอกซอกซอยทั่วประเทศไทยก็ว่าได้ จริงๆแล้วส่วนประกอบในก๋วยเตี๋ยว จัดว่าเรียบง่าย ที่จะนำเสนอวันนี้ คือ ก๋วยเตี๋ยวเส้นหมี่แห้งหมู ซึ่งประกอบด้วย ก๋วยเตี๋ยว เส้นหมี่ ผักบุ้ง เนื้อหมู ลูกชิ้นหมูหรือลูกชิ้นเนื้อ ต้นหอม ผักชี กระเทียมเจียว


คุณค่าทางโภชนาการล่ะเป็นอย่างไร
บอกได้เลยว่าเส้นหมี่แห้งหมูนี้ให้พลังงานและไขมันค่อนข้างมาก ใน 1 ชาม ปริมาณอาหารเพียง 235 กรัม หรือประมาณ 2 ขีดครึ่ง ซึ่งเป็นปริมาณไม่มากนัก ให้พลังงาน 530 กิโลแคลอรีและเป็นพลังงานมาจากไขมันเสียเกือบครึ่งหนึ่งแล้ว ซึ่งคิดเป็นปริมาณไขมันถึง 28.6 กรัม คิดเป็นร้อยละ 44 ของปริมาณไขมันที่แนะนำให้บริโภคประจำวัน ไขมันที่มากนี้มาจากน้ำมันกระเทียมเจียวที่ใส่เพื่อทำเป็นก๋วยเตี๋ยวแห้ง ซึ่งถ้ากินเป็นก๋วยเตี๋ยวน้ำจะใส่น้อยกว่านี้
ส่วนปริมาณโปรตีนมีอยู่ 19.4 กรัมนั้น คิดเป็นร้อยละ 39 ของปริมาณโปรตีนที่แนะนำให้บริโภคประจำวันก็คิดว่าเป็นอาหารที่มี โปรตีนสูง ดังนั้นเส้นเล็กแห้งหมู จึงเป็นอาหารที่มีพลังงานไขมันและโปรตีนสูง การกินเป็นอาหารมื้อกลางวันควรกินเพียง 1 ชาม แล้วตามด้วยผลไม้สดจะทำให้ได้รับใยอาหารเพิ่มขึ้น ถ้าผู้ที่ใช้แรงงานมากในการทำงานจะกิน 2 ชาม ควรกินเป็นก๋วยเตี๋ยวน้ำจะดีกว่า เพราะมีพลังงานและไขมันน้อยกว่าและท่านก็จะไม่เลี่ยนอีกด้วย

ก๋วยเตี๋ยวเรือ..เป็นอาหารที่ให้คุณค่าทางอาหารครบ 5หมู่จริงหรือไม่…?



ก๋วยเตี๋ยวเรือ จัดเป็นอาหารจานด่วน ที่นอกจากจะรวดเร็ว รสชาติอร่อย ราคาไม่แพง ยังให้คุณค่าทางอาหารครบ 5 หมู่ เพราะ ประกอบไปด้วย เส้น เนื้อสัตว์ ผัก เครื่องเทศ สมุนไพร เครื่องปรุง ซึ่งเมื่อรวมกันแล้ว ให้ประโยชน์ต่อร่างกายครบครันอย่างน่าทึ่งเลยทีเดียวคะ

1. คาร์โบไฮเดรท

ก๋วยเตี๋ยวเรือ..อาหารจานด่วนที่ให้คุณค่าทางอาหารครบ 5 หมู่1

👉🏻มาจากเส้นซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของก๋วยเตี๋ยว ไม่ว่าจะเป็นเส้นเล็ก ใหญ่ หมี่ บะหมี่ คาร์โบไฮเดรทให้พลังงาน ทำให้มีพลังในการทำงานในแต่ละมื้อของวัน หากต้องการพลังงานมาก ต้องเบิ้ล 2 ชามเลยคะ แนะนำ รับรองอิ่ม พลังเพียบ

2. โปรตีน

ก๋วยเตี๋ยวเรือ..อาหารจานด่วนที่ให้คุณค่าทางอาหารครบ 5 หมู่2

👉🏻มาจากเนื้อสัตว์ที่ใช้เป็นส่วนประกอบหลักของก๋วยเตี๋ยว เช่น โปรตีนจากเนื้อหมูสด/หมูตุ๋น หากรับประทานก๋วยเตี๋ยวหมู โปรตีนจากเนื้อวัว/เนื้อตุ๋น หากรับประทานก๋วยเตี๋ยวเนื้อ หรือ จากไก่ หากรับประทานก๋วยเตี๋ยวไก่ เป็นต้น โปรตีน ที่ได้จากเนื้อสัตว์ในก๋วยเตี๋ยว จะช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย และทำให้อิ่มทนด้วยครับ

3. วิตามินต่างๆ

ก๋วยเตี๋ยวเรือ..อาหารจานด่วนที่ให้คุณค่าทางอาหารครบ 5 หมู่3

👉🏻ร่างกายต้องการวิตามินไม่มากนัก แต่ก็ขาดไม่ได้ เพราะถ้าขาดก็จะทำให้ร่างกายแสดงอาการผิดปกติออกมาให้เห็นได้ เช่น ขาดวิตามินซีจะเป็นหวัดง่าย ขาดวิตามินบีจะเป็นโรคเหน็บชา เป็นต้น วิตามินที่ได้จากก๋วยเตี๋ยว ได้จากเส้นคือ วิตามินบี ส่วนผักสดให้วิตามินซี และอื่นๆ มากมาย รับประทานก๋วยเตี๋ยวแล้วได้วิตามินไม่ขาดแน่นอน รับประทานก๋วยเตี๋ยวได้ทุกวันไม่รู้เบื่อกันเลยทีเดียว

4. เกลือแร่ต่างๆ

ก๋วยเตี๋ยวเรือ..อาหารจานด่วนที่ให้คุณค่าทางอาหารครบ 5 หมู่4

👉🏻ร่างกายต้องการเกลือแร่ในปริมาณไม่มากนัก เช่นเดียวกับวิตามิน และร่างกายขาดเกลือแร่ไม่ได้เช่นกัน เพราะเกลือแร่จะช่วยในการเจริญเติบโตของร่างกาย ช่วยเรื่องระบบประสาทและควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อ เป็นต้น ดังนั้น รับประทานก่วยเตี๋ยวเถอะคะ รับรองไม่ขาดเกลือแร่แน่นอนครับ เพราะในก๋วยเตี๋ยวจะมีแหล่งเกลือแร่จาก ผัก เครื่องปรุง เครื่องเทศ เป็นต้น

5. ไขมัน

ก๋วยเตี๋ยวเรือ..อาหารจานด่วนที่ให้คุณค่าทางอาหารครบ 5 หมู่5

👉🏻ในก๋วยเตี๋ยวมีไขมันไม่มากนัก แต่ก็จัดเป็นส่วนประกอบที่ขาดไม่ได้ นั่นก็คือ น้ำมันกระเทียมเจียว แคบหมู นั่นเอง ซึ่งน้ำมันกระเทียมเจียวกับก๋วยเตี่ยวนั้นขาดไม่กันไม่ได้เลยทีเดียว เพราะจะทำให้ก๋วยเตี๋ยวมีรสชาดหอมอร่อย นอกจากนั้น รับระทานก๋วยเตี๋ยวก็ยังได้รับไขมันบางส่วนจากเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อสด/ตุ๋น หมูตุ๋น ไก่ เป็นต้น

ประวัติลอดช่องวัดเจษฯ แฟนพันธุ์แท้เท่านั้นที่รู้

ลอดช่องวัดเจษฯ เป็นชื่อที่เรียกติดปากกันไปแล้ว ถ้าจะกินลอดช่องก็ต้องพ่วงคำว่าวัดเจษฯ เข้าไปด้วย ถือว่าเป็นลอดช่องที่ทุกคนกิน ของมันต้องมีอ...